ทัวร์สาธารณรัฐมอลต้า ไข่มุกแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ทัวร์สาธารณรัฐมอลต้า ไข่มุกแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

รหัสทัวร์
049-00654
วันที่เดินทาง
พ.ค.67
ช่วงเวลา
8 วัน 5 คืน
เดินทางโดย
Emirates (EK) Emirates (EK)

ไฮไลท์

  • วัลเลตต้า – ซิตี้ทัวร์ – The Three cities  
  • ชมเมืองเอ็มดิน่า (Mdina) - จัตุรัส Bastion
  • มหาวิหารเซนต์พอล - วัด Hagar Qim - หมู่บ้านชาวประมงมาร์ซักลอกก์
  • โบสถ์ทาปนู (Ta’Pinu) - หมู่บ้านป๊อบอาย (Popeye’s Village)

แผนการเดินทาง

23:30 น.  คณะผู้เดินทางพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ   อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตูทางเข้าที่ 7-8 แถว U เคาน์เตอร์สายการบินอิมิเรต (EMIRATES) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวกด้านสัมภาระแก่ท่าน

02.25 น.   ออกเดินทางโดยสายการบิน EMIRATES เที่ยวบินที่ “EK 377

06.00 น.    ถึงสนามบินดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง

08.00 น.    ออกเดินทางโดยสายการบิน EMIRATES เที่ยวบินที่ “EK 109

14.05 น.  เดินทางถึงท่าอากาศยานมอลต้า ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง

สาธารณรัฐมอลต้า สำหรับพลเมืองยุโรปนั้น รู้จักประเทศมอลต้ากันเป็นอย่างดีในฐานะประเทศที่น่าไปท่องเที่ยวมากที่สุดประเทศหนึ่งในช่วงซัมเมอร์ ด้วยภูมิอากาศที่ค่อนข้างอุ่น เต็มไปด้วยสถานที่แห่งประวัติศาสตร์มากมาย มีกิจกรรมสันทนาการให้ทำ อีกทั้งยังสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร และทะเลและชายหาดที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนในโลก ประเทศมอลต้ายังมีสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO ทั้งหมด 3 ที่ด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในสหภาพยุโรป เมืองวาเลตต้า (Valletta) ที่มีพื้นที่เพียง 0.8 ตารางกิโลเมตรเท่านั้นห่างจากประเทศอิตาลีโดยเครื่องบินประมาณ 30 นาที ซึ่งอยู่ใจกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ประกอบไปด้วย 3 หมู่เกาะ คือ มอลต้า โกโซ และคามิโน เกาะมอลต้าตั้งอยู่ระหว่างเมืองซิซิลีและชายฝั่งของแอฟริกา เป็นประเทศที่มีอากาศดีที่สุดในโลก นำท่านชม โบสถ์โดมแห่งโมสตา (Rotunda of Mosta) หรือโดมแห่งปาฏิหาริย์ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 สถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสิก เป็นโดมไร้เสาขนาดใหญ่อันดับสามของโลก มีชื่อเสียงอย่างมาก ในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ จากเหตุการณ์ในสงครามโลกที่ผ่านมา ได้มีเครื่องบินทิ้งระเบิดน้ำหนักกว่า 200 กิโลกรัม ตกทะลุลงมาใจกลางโบสถ์ ในขณะที่ชาวเมืองกว่า 300 คน กำลังสวดมนต์กันอยู่ด้านใน แต่ระเบิดกลับไม่ทำงาน

จากนั้นนำท่านชม San Anton Garden สวนซานแอนตัน เป็นหนึ่งในสวนที่สวยที่สุดในมอลต้า มีดอกไม้และพืชพรรณไม้ที่สวนงามหลากหลายชนิด สวนแห่งนี้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมตั้งแต่ปี 1882 และสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ Antoine de Paule สวนแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง San Anton ซึ่งเป็นที่พักฤดูร้อน และปัจจุบันเป็นที่พำนักของ ประธานาธิบดีแห่งมอลต้า ปัจจุบันสวน ซานแอนตัน ยังเป็นสถานที่สำหรับจัดแสดงพืชสวนประจำปี และเป็นโรงละครกลางแจ้งสำหรับการแสดงละคร เต้นรำ และดนตรีในช่วงฤดูร้อน สวนแห่งนี้มีดอกไม้นานาพันธุ์และต้นไม้ใหญ่จากทั่วโลก บางต้นมีอายุถึง300ปี

เย็น  บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

หลังอาหารนำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก INTERCONTINAL  หรือเทียบเท่า 5ดาว

เช้า บริการเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก

นำทุกท่านเยี่ยมชม เมือง วาเลตต้า “VALLETTA” เมืองหลวงของประเทศ มอลต้า หนึ่งในมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมสไตล์ บาร๊อก เมืองวาเลตต้าเป็นเมืองป้อมปราการ  ตั้งอยู่บนเนินคาบสมุทรที่ยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมืองขนาดเล็กและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมาย ทำให้วาเลตต้าเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่สามารถเข้าชมได้ด้วยการเดินเท้า ห้อมล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวและวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากมาย ผ่านประตูเมืองวาเลตต้า (VALLETTA CITY GATE) ชมน้ำพุ Triton และอนุสาวรีย์ Triton3ตัวที่ตั้งตระง่าน เป็นสัญลักษณ์ของทะเลทำหน้าที่ต้อนรับผู้คนที่มาเยือนเมืองวาเลตต้า ผ่านชมอาคารรัฐสภาประจำประเทศมอลต้า สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี2014 โดยสถาปนิกที่ออกแบบประตูเมืองและ Royal Opera House ดีไซน์ของตัวอาคารนี้สวยงามสไตล์โมเดิร์น กลายเป็นมุมถ่ายรูปที่นักท่องเที่ยวนิยมเป็นอันมาก  

   นำท่านเข้าชมพระราชวัง Grandmasters Palace แห่งนี้ตั้งอยู่ในใจกลางวัลเลตตา สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 เคยเป็นที่ประทับของหัวหน้าคณะอัศวินแห่งเซนต์จอห์น และเป็นที่บัญชาการรบ ภายหลังเสร็จสิ้นสงครามได้ถูกต่อเติมเป็นพระราชวัง แต่แล้วถูกโอนย้ายเปลี่ยนมือเป็นสถานที่พำนักของผู้ปกครองจากประเทศอังกฤษในช่วงศตวรรษที่19 แหลังจากได้รับเอกราชที่แห่งนี้ได้กลางเป็นที่ของรัฐสภามอลต้าและเป็นสำนักงานของประธานาธิบดี พระราชวังแห่งนี้เป็นที่รวบรวมศิลปะ และยังมีห้องคลังแสงที่มีอาวุธ ชุดเกราะ ปืนใหญ่ และอาวุธอื่นๆมากมาย รวมถึงชุดเกราะส่วนตัวของผู้นำสำคัญอีกด้วย

จากนั้นนำท่านชม สวนอัพเปอร์บารัคคา (UPPER Barracca Garden) ที่ตั้งอยู่บนป้อมปราการเซนต์ปีเตอร์แอนด์พอล (St.Peter & Paul Bastion)  สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1661 โดยอัศวินชาวอิตาเลียน เป็นสวนลอยฟ้า ห้อมล้อมไปด้วยน้ำพุ ต้นไม้ ดอกไม้ รูปแกะสลักและอนุสาวรีย์ สวนเชื่อมต่อกับระเบียงที่ยื่นออกไปยังจุดชมวิวที่สวยที่สุด มองเห็นวิวทะเลอ่าวแกรนด์ฮาร์เบอร์ และ Three Cities ได้อย่างชัดเจน

ชม มหาวิหารเซนต์จอห์น (St. John’s Cathedral) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองวัลเลตตา สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1577 ออกแบบโดย Gerolamo Cassar ชาวมัลติส์ ด้านนอกมีความเรียบง่าย แต่ด้านในวิจิตรตระการตา เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมบารอกชั้นสูงของยุโรป ด้านหน้าวิหารโดดเด่น แปลกตาคือหอคอยคู่ ที่ด้านหนึ่งจะเป็นระฆังใหญ่ ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นนาฬิกาจำนวนสามเรือนบอกวันเวลา และสัปดาห์ ภายในวิหารแบ่งเป็นโถงขนาดใหญ่ รูปทรงหลังคาโค้งสร้างขึ้นจากหินอ่อนแกะสลักทั้งหมด โบสถ์แห่งนี้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีรูป Our Lady of Carafa ที่ผู้คนนิยมไปบูชาสักการะกัน ห้องบรรจุเครื่องสักการะ ห้องเทศน์และที่ฝังศพของเซนต์ต่างๆ ไฮไลต์ของโบสถ์แห่งนี้อีกหนึ่งสิ่งคือ ภาพ “The Beheading of St.John Baptist” ผลงานชิ้นเอกที่วาดขึ้นโดย ศิลปิน คาราวัจโจ สะท้อนความโสมมและความโหดร้ายในโลก ผ่านภาพวาด ความพิเศษของภาพนี้คือลายเซนต์ของเขา ตำแหน่งเซนต์ต่อจากเลือดที่ไหลรินจากคอของ St.John Baptist จนถูกขนานนามว่าเป็นลายเซนต์ประทับรอยเลือด

เที่ยง บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

จากนั้นเดินไปตาม Republic Street ซึ่งเป็นถนนสายหลักของวัลเลตตา ถนนคนเดินนี้ทอดยาวไปตลอดทั้งตัวเมือง เดินชมร้านค้าและแวะพักที่คาเฟ่เพื่อชิมปาทิซซี่ ขนมอบของคาวที่ได้รับความนิยมของมอลต้า นำทุกท่านเที่ยวชม Birgu เบอร์กูร์ หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า Vittoriosa 1ในสามเมือง (The Three Cities) คือเมืองวิตตอริโอชา (Vittoriosa) กอสปีกัว (Cospicua) และ เซงเกลีย (Senglea) ในประเทศมอลตา  เบอร์กูร์ เป็นย่านเก่าแก่ที่มีต้นกำเนิดย้อนกลับไปถึงยุคกลาง ก่อนที่จะมีการสถาปนา วัลเลตตา เป็นเมืองหลวง ชมประตูเมืองวิตตอริโอซา (Vittoriosa City Gate) เป็นการผสมผสานกำแพงเมืองให้เข้ากับความโมเดิร์นในปัจจุบัน จนกลายเป็นคอมเพล็กซ์เซ็นเตอร์ และสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตในแห่งเดียวกัน บรรยากาศรอบๆ เย็น สบาย และยังเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อไปแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น จุตรัสรีพลับบลิค (Republic Square)  ผ่านชมโบสถ์ St.Lawrence ลัดเลาะไปถนนตรอกซอกซอย ซึ่งมีบ้านสไตล์มอลต้าแบบดั้งเดิม ซึ่งจะมีประตูหน้าต่างที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะระเบียงที่ยื่นออกมาแต่ละบ้านมีสีสันลวดลายสวยงามยิ่ง

จากนั้น นำทุกท่านขึ้นเรือแบบดั้งเดิม “Dghajsa” เรือประมงลำเล็กคล้ายเรือ กองโดล่า ล่องไปดูท่าเรือและความสวยงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และท่าเรือของมอลต้า

อิสระช้อบปิ้งตามอัธยาศัย ย่าน Birgu Old Town

เย็น  บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

หลังอาหารนำท่านกลับสู่ที่พัก

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของที่พัก

จากนั้นนำท่านเที่ยว ชมเมืองเอ็มดิน่า (Mdina) เมืองหลวงเก่าของมอลต้า อายุประมาณ 1500-1000 ปี ก่อนคริสตกาล ตั้งยู่บนเนินเขาความสูงประมาณ 150เมตร จากระดับน้ำทะเล สร้างขึ้นในช่วงการปกครองของอาหรับเชื้อสายฟินิเซีย ศิลปะยุคกลางสไตล์ Medieval ผสมผสานสถาปัตยกรรมระหว่างอาหรับและยุโรป จนกลายเป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัวหาดูได้ยาก ภายนอกเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงสูงสีทอง ภายในมีทั้งพระราชวัง พิพิธภัณฑ์ โบสถ์ จัตุรัสสวนสวย แวะถ่ายรูปคู่กับ Mdina Main Gate ไว้เพื่อเป็นที่ระลึก

ระตูเมืองเอ็มดิน่า (Mdina Gate) ตั้งตระหง่าน พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนให้เข้าไปด้านใน ประตูเมืองเอ็มดิน่านั้นมีทั้งหมด 3 ประตูด้วยกัน ประตูเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1724 ในสไตล์บารอกเพื่อใช้เป็นประตูเมืองหลักตั้งอยู่ที่ปลายสะพาน ประตูนี้ดีไซน์โดย Charles Francois de Mondion สำหรับ Manoel de Vilhena ผู้ที่เป็นแกรนด์มาสเตอร์ของภาคีในนักบุญเซนต์จอห์น (Grand Master of the Order of St. John) โดยมีจุดประสงค์หลักคือเพื่อที่จะให้ทุกคนที่เดินทางเข้ามาในเมืองเอ็มดิน่าที่เดินผ่านประตูเมืองนี้เห็นตราอาร์มของแกรนด์มาสเตอร์ Manoel de Vilhena ที่เป็นตราสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จในการต่อสู้ในสนามรบ ประตูเมืองเอ็มดิน่าแห่งนี้มีความสวยงามและอลังการ โดยมีการใช้ประตูเมืองเอ็มดิน่าจำลองเป็นประตูเมืองเข้าสู่คิงส์แลนด์ดิ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำซีรี่ส์เรื่องนี้ในประเทศมอลต้า พาทุกท่านเดินยังไปสุดแนวกำแพงเมือง จะพบกับจัตุรัส Bastion ที่มีวิวของประเทศมอลต้าแบบพาโนรามาให้เห็นแบบเต็มๆ ผ่านจัตุรัส Pjazza Mesquita ประตูบานสีเขียวตั้งอยู่ตรงกลางอย่างโดดเด่น ที่ตรงนี้อาจจะดูคุ้นตาสำหรับแฟนๆซีรี่ส์ Game of Thrones กันเพราะโลเคชั่นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ถ่ายทำเช่นกัน แวะถ่ายรูปกับ โบสถ์ St. Paul's Cathedral หรือ The Metropolitan Cathedral of Malta เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นจากซากของโบสถ์สไตล์อังกฤษ (Norman cathedral) ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคสมัยกลางแต่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1693 ในเมืองเอ็มดิน่าเองก็ได้รับผลกระทบมากมายเช่นกัน สถาปนิกชาวมอลทีส Lorenzo Gafà เป็นผู้วางแบบแปลนและสร้างโบสถ์นี้ขึ้นมาใหม่ นำท่านแวะชมสินค้าท้องถิ่น Ta Qali Crafts Village เช่น โมเดลเรือประมงที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของประเทศมอลต้า เรือ Luzzu นี้จะถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส ที่หัวเรือจะมีตา 1 คู่ประดับอยู่ เหมาะที่จะซื้อกลับไปประดับตกแต่งบ้านเป็นอย่างมาก น้ำมันมะกอก ซึ่งมอลต้ามีภูมิประเทศและอากาศที่เหมาะกับการปลูกต้นมะกอก จึงทำให้น้ำมันมะกอกเป็นสินค้าขึ้นชื่อของมอลต้าอีกด้วย และยังมีของที่ระลึกอื่นๆ อีกมาก

นำท่านแวะถ่ายรูป มหาวิหารเซนต์พอล (Siant Paul Catherdral) หรือมหาวิหารเอ็มดิน่า นิกายโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 เพื่ออุทิศให้แก่นักบุญพอล ต่อมาได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว จึงสร้างขึ้นใหม่ในปี คศ.1696-1705 สถาปัตยกรรมแบบบารอกผสมผสานกับมอลติส 

เที่ยง บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

เดินทางสู่เมืองราบัต (Rabat) หรือวิกตอเรีย ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงในเกาะโกโซ เป็นเมืองมรดกโลกที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกปี คศ.1980 ดินแดนประวัติศาสตร์สมัยชาวโรมันชาวอาหรับ และชาวนอร์มัน ต่อมาในสมัยศตวรรษที่ 17 อัศวินเซนต์จอห์นได้สร้างป้อมปราการวิคตอเรียเป็นกำแพงหินทรายสีทองล้อมรอบเมืองขึ้นมาใหม่ แวะถ่ายรูปกับโบสถ์ St.Pauls Grotto โบสถ์เก่าแก่ที่อุทิศให้กับนักบุญพอล

นำท่านชม Wignacourt Museum พิพิธภัณฑ์วิกนาคอร์ตเป็นพิพิธภัณฑ์ในเมืองราบัต ประเทศมอลตา ตั้งอยู่ในอาคารสไตล์บารอกสมัยศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Chaplains of the Order of St. John และได้รับการตั้งชื่อตามปรมาจารย์ Alof de Wignacourt ผู้ปกครองหมู่เกาะมอลตาระหว่างปี 1601 ถึง 1622 ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ ภายในมีสถาปัตยกรรมสวยงามสไตล์บารอก เป็นที่จัดงานแสดงภาพวาด เครื่องเงิน และสิ่งประดิษฐ์ที่มีเอกลักษณ์อื่นๆอันงดงาม

เย็น  บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

หลังอาหารนำท่านกลับสู่ที่พัก

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของที่พัก

นำท่านเที่ยวชม วัด Hagar Qim เป็นอาคารวัดที่สวยงามที่มีหินขนาดใหญ่ที่พบในเกาะมอลตาในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีอายุตั้งแต่สมัยโอกันติจา วัด Megalithic ของมอลตาเป็นหนึ่งในสถานที่ทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อธิบายโดยคณะกรรมการแหล่งมรดกโลกว่าเป็น "ผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรมที่ไม่ซ้ำใคร"

นำทุกท่านล่องเรือเพื่อไปยังถ้ำบลูกร็อตโต้ (Blue Grotto) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเอกลักษณ์ของมันคือ แสงแดดจะส่องเข้ามาทางปากถ้ำสะท้อนขึ้นบนผนังและเพดานถ้ำ และลำแสงตกระทบกับน้ำทะเลสีครามระยิบระยับเป็นประกายวิบวับๆสุดๆ ความงามจากธรรมชาติที่รังสรรค์มาจากการกัดกร่อนของกระแสลมและน้ำเป็นซุ้มประตูขยาดใหญ่สูงกว่า 30 เมตร อิสระชมความงามของถ้ำ และเก็บภาพความประทับใจ   (การล่องเรือขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากอากาศไม่เอื้ออำนวย บริษัทจะจัดกิจกรรมอย่างอื่นทดแทน)

จากนั้นนำท่านถ่ายรูปกับหน้าผาติงลี (Dingli Cliff) อีกหนึ่งผางามแห่งเกาะมอลต้า  ที่ความสูง 253เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งนับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากที่สุดจุดหนึ่ง

เที่ยง  บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น

เยี่ยมชมหมู่บ้านชาวประมงมาร์ซักลอกก์ (MARSAXLOKK) ถือเป็นท่าเรือขนาดใหญ่อันดับสองของมอลตา บริเวณตรงท่าเรือจะมีบรรดาเรือประมงพื้นเมือง Luzzus จอดอยู่เต็ม มีสีสัน และรูปทรงของเรือที่สวยแปลกตา เยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวเมือง และปลาที่ชาวเมืองมอลตาได้ทานกันนั้นก็ล้วนมาจากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้  และเอกลักษณ์ของเรือทุกลำนี้ สังเกตจะมีตาสองดวงแปะอยู่ ซึ่งหมายถึงดวงตาแห่งผู้พิทักษ์ Eye of Horus or Eye of Osiris ที่จะคอยสอดส่องคุ้มครองไม่ให้เกิดภัยอันตรายกับชางประมงขณะเดินเรือ ในสมัยโบราณที่นี่ถูกใช้เป็นท่าเรือขนส่ง หมู่บ้านยังได้ความนิยมสำหรับชาวบ้านและนักท่องเที่ยวในการมาเดินเล่นรอบๆ บริเวณชายฝั่งและท่าเรือ

เย็น  บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

หลังอาหารนำท่านกลับสู่ที่พัก

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของที่พัก

แวะถ่ายรูป หมู่บ้านป๊อบอาย (Popeye’s Village) หรือ สวีทเฮฟเว่น วิลเลจ เป็นเกาะริมทะเลน่ารัก ตั้งอยู่ในอ่าวแองเคอร์ เป็นหมู่บ้านเรือประมงริมทะเล สร้างขึ้นในปี คศ.1980 เพื่อเป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์เพลงเรื่องป๊อบอาย ของ Paramount picture  และ Walt Disney Productions นำแสดงโดย โรบิน วิลเลียม การ์ตูนเรื่องนี้เป็นแนวตลกผจญภัยที่โด่งดังและป๊อบอายกะลาสีเรือมีเอกลักษณ์จากการคาบไปป์ กินผักโขมเพื่อเพิ่มพลัง จะได้มีแรงไปช่วยโอลีฟออย์สาวคนรัก

นำทุกท่านเดินทางไป ข้ามไปยังเมือง โกโซ (Gozo) (private boat) คืออีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศมอลตา โดยเกาะนั้นตั้งอยู่ในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Sea) เป็นอีกหนึ่งเกาะในตำนาน ที่บางครั้งมักเรียกว่า เกาะแห่งคาลิปโซ่ ( Isle of Calypso)นั่นเองโดย คาลิปโซ่ เป็นธิดาแห่งท้องทะเล ในตำนานกรีก คาลิปโซ่ เป็นบุตรีของเทพแอตลาส เผ่าไททัน นางอาศัยอยู่ในเกาะแห่งความฝัน(Mythical Island) ซึ่งอยู่ที่ Ogygia ในทะเลไอโอเนียน ปัจจุบันเกาะโกโซ เป็นเกาะที่มีความงดงามทางธรรมชาติมาแห่งหนึ่งของหมู่เกาะมอลตา เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมของเหล่านักดำน้ำ และคนที่ต้องการหาสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบ

นำทุกท่านชม โบสถ์ทาปนู (Ta’Pinu) ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้า สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 เพื่อบูชาพระแม่มารี Our Lady of Ta’Pinu เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่พระสันตะปาปาเสด็จเยือนถึง 2 องค์ คือโป๊ปจอห์นปอลที่ 2 ในปี คศ.1990 และโป๊ปเบเนดิกต์ที่ 14 ในปี คศ.2010 ได้มอบกุหลาบสีทอง สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์แห่งนี้  ภายในโบสถ์ตกแต่งประดับด้วยภาพโมเสคจำนวน 6 ภาพและกระจกสีจำนวน 76 บ้าน และมีหอระฆังสูง 61 เมตร โดดเด่นตัดขอบฟ้าและน้ำทะเล

เที่ยง บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

จากนั้นนำท่านเดินทาง ชม Ggantija เป็นวัดที่ซับซ้อนจากยุคหินใหม่บนเกาะโกโซในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในมอลตา วิหาร Ġgantija เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาวิหารหินขนาดใหญ่ของมอลตา และเก่าแก่กว่าพีระมิดของอียิปต์ ผู้ผลิตของพวกเขาสร้างวัด Ġgantija สองแห่งในช่วงยุคหินใหม่ ซึ่งทำให้วัดเหล่านี้มีอายุมากกว่า 5,500 ปี

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ Salt Pans เกิดจากตะกอนของชั้นเกลือ ส่วนมากประกอบด้วย ทรายขนาดหินทรายแป้ง ที่มาจากแม่น้ำ จะมีลักษณะเป็นชั้นบางเรียงตัวกันหนามากกว่า 5 มิลลิเมตร ด้านบนจะเป็น mud crack จะพบตะกอนน้อยมากที่จะสามารถซึมผ่านเข้าไปในโพรงชั้นเกลือได้ บริเวณ mud crack ที่อยู่ด้านบนจะแห้ง เพราะเกิดการกักกร่อนโดยลม ซึ่งบริเวณ salt pan จะเป็นบริเวณที่ไม่มีการระบายเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีการสะสมของน้ำและมีการระเหยสูง ทำให้การสะสมของเกลือส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณทะเลสาบน้ำเค็ม (lagoon)

อิสระให้ทุกท่านได้เดินเล่น ชิค ชิว ในเมืองโกโซ ซึ่งมีร้านอาหาร และคาเฟ่ น่ารัก สวย ๆ อยู่ทุกหนแห่ง ร้านค้าขายของที่ระลึกอยู่ทั่วไปในเมืองแห่งนี้    ได้เวลาอันสมควร นำทุกท่านเดินทางกลับโดยเรือส่วนตัว โดยทุกท่านจะได้สัมผัสน้ำทะเลสีน้ำเงิน ใสราวคริสตัล สัมผัสวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม

เย็น  บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น

หลังอาหารนำท่านเดินทางกลับสู่ที่พัก

เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของที่พัก

อิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย จนสมควรแก่เวลานำท่านออกเดินทางสู่สนามบิน

15.35 น. ออกเดินทางโดยสายการบิสนามบินนครดูไบ– สนามบินสุวรรณภูมิน EMIRATES AIRLINES เที่ยวบิน ที่ EK 110

01.05 น. ถึงสนามบินเมืองดูไบ

03.45 น. ออกเดินทางโดยสายการบิน EMIRATES AIRLINES เที่ยวบิน ที่ EK 376

13.00 น.  ถึง  สนามบินสุวรรณภูมิ   โดยสวัสดิภาพและประทับใจ

แผนที่

เงื่อนไข

1. ค่าตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัด (Economy Class) โดย สายการบินเอมิเรตต์ EMIRATE AIRLINE (EK)

 2. ค่าน้ำหนักสัมภาระท่านละ 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 30 กิโลกรัม และถือขึ้นเครื่อง 7 กิโลกรัม เป็นไปตามที่สายการบินกำหนด

 3. ค่าภาษีสนามบินทุกแห่งตามรายการ

 4. ค่ารถโค้ชปรับอากาศนำเที่ยวตามรายการพร้อมพนักงานขับรถที่ชำนาญเส้นทาง

 5. ค่าห้องพักในโรงแรมตามที่ระบุในรายการหรือเทียบเท่า

 6. ค่าอาหารตามที่ระบุในรายการ

 7. ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวตามรายการ

 8. ค่าประกันภัยการเดินทางรายบุคคล (หากต้องการเงื่อนไขกรมธรรม์สอบถามได้จากเจ้าหน้าที่) ค่าประกันอุบัติเหตุคุ้มครองในระหว่างการเดินทางวงเงินไม่เกินท่านละ 1,500,000 บาท

-  ค่ารักษาพยาบาลในกรณีเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล (ADMIT) เนื่องจากอาการเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ จ่ายตามจริง (ตามเงื่อนไขกรมธรรม์)

-  ค่ารักษาพยาบาลกรณีเกิดอุบัติเหตุ วงเงินไม่เกิน 500,000       

 9. ค่ามัคคุเทศก์ของบริษัทดูแลตลอดการเดินทาง

1. ค่าธรรมเนียมการจัดทำหนังสือเดินทาง

2. ค่าใช้จ่ายส่วนตัว อาทิเช่น ค่าเครื่องดื่มที่สั่งพิเศษ, ค่าโทรศัพท์, ค่าซักรีด, ค่าน้ำหนักเกินจากทางสายการบินและมากกว่า 1ชิ้น, ค่ารักษาพยาบาล กรณีเกิดการเจ็บป่วยจากโรคประจำตัว, ค่ากระเป๋าเดินทางหรือของมีค่าที่สูญหายในระหว่างการเดินทาง เป็นต้น

3. ค่าธรรมเนียมน้ำมันและภาษีสนามบิน ในกรณีที่สายการบินมีการปรับขึ้นราคา

4. ค่าบริการยกกระเป๋าในโรงแรม

หมายเหตุ โรงแรมส่วนใหญ่ในประเทศยุโรปจะไม่มีพนักงานยกกระเป๋าคอยอำนวยความสะดวกให้แก่ท่านซึ่งท่านจะต้องดูแลกระเป๋าและทรัพย์สินของท่านด้วยตัวท่านเอง

5. ค่าธรรมเนียมวีซ่าเชงเก้น ประเภทท่องเที่ยว (ออสเตรีย) ไม่ได้รวมอยู่ในค่าทัวร์ และลูกค้าจ่ายค่าวีซ่าเองโดยตรงกับตัวแทนของแต่ละสถานฑูต

เงื่อนไขการให้บริการ

  1. ชำระเงินมัดจำ ท่านละ50,000 บาท หลังจากทำการจองภายใน 3 วัน ที่นั่งจะยืนยันเมื่อได้รับเงินมัดจำแล้วเท่านั้น
  2. ชำระยอดส่วนที่เหลือ ก่อนการเดินทางไม่น้อยกว่า 20 วัน หากไม่ชําระค่าใช้จ่ายภายในกําหนด ทางบริษัทจะถือว่าท่านยกเลิกการเดินทางโดยอัตโนมัติ
  3. ส่งสำเนาหน้าพาสปอร์ตของผู้ที่เดินทาง ที่มีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน เพื่อทำการจองคิวยื่นวีซ่าภายใน 5 วันนับจากวันจอง  หากท่านไม่ส่งสำเนาหน้าพาสปอร์ตให้ทางบริษัทตามกำหนดเวลา ทำให้ทางบริษัทไม่สามารถจองคิววีซ่าให้ท่านได้ทันกำหนดที่วีซ่าจะต้องออก ทางบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการคืนเงินค่ามัดจำทัวร์ และขออนุญาตยกเลิกการจองทัวร์โดยอัตโนมัติ
  4. เมื่อได้รับการยืนยันว่ากรุ๊ปออกเดินทางได้ ลูกค้าจัดเตรียมเอกสารในการขอวีซ่าได้ทันที
  5. หากท่านที่ต้องการออกตั๋วโดยสารภายในประเทศ (กรณีลูกค้าอยู่ต่างจังหวัด) ให้ท่านติดต่อเจ้าหน้าที่ ก่อนออกบัตรโดยสารทุกครั้ง หากออกบัตรโดยสารโดยมิแจ้งเจ้าหน้าที่ ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ไม่รับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
  6. หากในคณะของท่านมีผู้ต้องการดูแลพิเศษ นั่งรถเข็น (Wheelchair), เด็ก, ผู้สูงอายุ, มีโรคประจำตัว หรือไม่สะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวในระยะเวลาเกินกว่า 4-5ชั่วโมงติดต่อกัน ท่านและครอบครัวต้องให้การดูแลสมาชิกภายในครอบครัวของท่านเอง เนื่องจากการเดินทางเป็นหมู่คณะ หัวหน้าทัวร์จึงมีความจำเป็นต้องดูแลคณะทัวร์ทั้งหมด

เงื่อนไขการยกเลิกการเดินทาง

1. แจ้งยกเลิก 45 วัน ขึ้นไปก่อนการเดินทาง เก็บค่าใช้จ่ายตามจริงที่เกิดขึ้น

2. แจ้งยกเลิกภายใน 30-44 วันก่อนเดินทางเก็บค่าใช้จ่าย ท่านละ 15,000 บาท

3. แจ้งยกเลิกภายใน 16-29 วันก่อนเดินทาง เก็บค่าใช้จ่าย ท่านละ 25,000 บาท

4. แจ้งยกเลิกน้อยกว่า 20 วันก่อนเดินทาง ทางบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมด

5. บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดกรณีท่านยกเลิกการเดินทางและมีผลทำให้คณะเดินทางไม่ครบตามจำนวนที่บริษัทฯกำหนดไว้ (25 ท่านขึ้นไป) เนื่องจากเกิดความเสียหายต่อทางบริษัทและผู้เดินทางอื่นทีเดินทางในคณะเดียวกันบริษัท ต้องนำไปชำระค่าเสียหายต่างๆที่เกิดจากการยกเลิกของท่าน

6. กรณีเจ็บป่วยจนไม่สามารถเดินทางได้ ซึ่งจะต้องมีใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลรับรอง บริษัทฯจะทำการเลื่อนการเดินทางของท่านไปยังคณะต่อไปแต่ทั้งนี้ ท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกคืนได้คือ ค่าธรรมเนียมในการมัดจำตั๋ว และค่าธรรมเนียมวีซ่าตามที่ สถานทูตฯ เรียกเก็บ

7. กรณียื่นวีซ่าแล้วไม่ได้รับการอนุมัติวีซ่าจากทางสถานทูต (วีซ่าไม่ผ่าน) และท่านได้ชำระค่าทัวร์หรือมัดจำมาแล้วทางบริษัทฯ ขอเก็บเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าวีซ่าและค่าบริการยื่นวีซ่า / ค่ามัดจำตั๋วเครื่องบิน หรือค่าตั๋วเครื่องบิน (กรณีออก ตั๋วเครื่องบินแล้ว) ค่าส่วนต่างในกรณีที่กรุ๊ปออกเดินทางไม่ครบตามจำนวน ค่ามัดจำโรงแรมที่พัก หรือค่าโรงแรมที่พัก (กรณีที่ได้ชำระค่าโรงแรมไปแล้วเต็มจำนวน)

 8. กรณีวีซ่าผ่านแล้ว แจ้งยกเลิกก่อนหรือหลังออกตั๋วโดยสาร บริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการไม่คืนค่าทัวร์ทั้งหมด

 9. กรณีผู้เดินทางไม่สามารถเข้า-ออกเมืองได้ เนื่องจากปลอมแปลงหรือการห้ามของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าเหตุผลใดก็  ตามทางบริษัท ขอสงวนสิทธิ์ในการไม่คืนค่าทัวร์ทั้งหมด

** เพื่อความถูกต้อง กรุณาตรวจสอบข้อมูลเดินทางและเงื่อนไขการชำระเงินกับทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายทุกครั้ง
Tags ที่เกี่ยวข้อง
ราคาเริ่มต้น
135,988 บาท
รหัส 049-00654 ทัวร์สาธารณรัฐมอลต้า ไข่มุกแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ราคาเริ่มต้น 135,988 บาท
เดินทางช่วง พ.ค.67
เดินทางโดย Emirates (EK)
ดูเพิ่มเติม https://grandtogethertour.com/tour.php?tour_id=6531

ไฟล์ PDF https://tourfiles.vm101.net/pdf/015/049-00654.pdf

สนใจติดต่อ บริษัท แกรนด์ทูเก็ตเตอร์ จำกัด
เลขที่ใบอนุญาต 11/08199
โทร 086-360-0023
LINE ID @grandtogether
อีเมล grandtogethertour@gmail.com
คัดลอกข้อมูลทัวร์
เพิ่มในรายการโปรด
Share on social networks
Scan QRCode
ติดต่อสำนักงาน
บริษัท แกรนด์ทูเก็ตเตอร์ จำกัด
เลขที่ใบอนุญาต 11/08199

9/31 หมู่ 3 แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร 10170

จันทร์-ศุกร์ 9.00 - 18.00 น.
บริการของเรา
บริการจัดนำเที่ยวในประเทศ
บริการจัดนำเที่ยวต่างประเทศ
บริการจัดอบรมประชุมสัมมนา
บริการจองตั๋วเครื่องบิน
ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า
LineID
Add LINE Friends via QR Code
ติดตามเรา
home
หน้าหลัก
quatation
ขอใบเสนอราคา
chat
ติดต่อเรา
ติดต่อ
chat ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า
search ค้นหาโปรแกรมทัวร์
home หน้าหลัก
approval ขอใบเสนอราคา